ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นเสมอในระหว่างผู้จัดทำหลักสูตรด้วยกันเอง ได้แก่ ข้อสงสัยที่ว่าทำไมจึงต้องจัดหัวข้อเนื้อหาในเรื่องเดียวกันซ้ำ ๆ กันอยู่เสมอในเกือบทุกระดับชั้น แม้จะได้มีผู้พยายามกระทำตามความคิดที่จะจัดสรรเนื้อหาในแต่ละเรื่องหรือแต่ละหัวข้อให้จบในแต่ละระดับชั้น แต่ในทางปฏิบัติและในข้อเท็จจริงยังกระทำไม่ได้ เนื่องจากว่าเนื้อหาหรือหัวข้อต่าง ๆ จะประกอบด้วยความกว้างและความลึก ซึ่งมีความยากง่ายไปตามเรื่องรายละเอียดของเนื้อหา นักพัฒนาหลักสูตรยอมรับในปรากฏการณ์นี้และเรียกการจัดเนื้อหาเรื่องเดียวกันไว้ในทุกระดับชั้นหรือหลายๆ ระดับชั้น แต่มีรายละเอียดและความยากง่ายแตกต่างกันไปตามวัยของผู้เรียนว่า หลักสูตรเกลียวสว่าน
1. ความหมาย
หลักสูตรเกลียวสว่าน หรือบันไดวน (Spiral
Curriculum) หมายถึง
การจัดเนื้อหาหรือหัวข้อเนื้อหาเดียวกันในทุกระดับชั้น แต่มีความยากง่ายและความลึกซึ้งแตกต่างกัน
กล่าวคือ ในชั้นต้นๆ จะสอนในเรื่องง่ายๆ ตื้นๆ แล้งค่อยๆ
เพิ่มความยากและความลึกลงไปเรื่อย ๆ ตามระดับชั้นที่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ
ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ มีให้พบเห็นได้ในหลักสูตรทั่ว ๆ ไป เช่นหลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช 2521 ของกระทรวงศึกษาธิการ ในวิชาคณิตศาสตร์กำหนดให้เรียนเรื่อง การคูณ
ทั้งในระดับชั้น ป.1 ป.2 ป.3-4
และ ป.5-6
แต่จะมีความยากและความซับซ้อนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง ในกลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต จะกำหนดให้นักเรียนเรียนเรื่อง พืช ในทุกระดับชั้นจาก ป.1-6 โดยจะมีรายละเอียดมากขึ้น และลึกลงเรื่อย ๆ
2.
ที่มาของแนวความคิดเรื่องหลักสูตรเกลียวสว่าน
บรูเนอร์ (Bruner, 1960)
เป็นนักการศึกษาท่านหนึ่งที่มีบทบาทมากในการเผยแพร่ความคิดเรื่องหลักสูตรเกลียวสว่าน
บรูเนอร์มีความเชื่อว่า
ในเนื้อหาของแต่ละเนื้อหาวิชาจะมีโครงสร้างและการจัดระบบที่แน่นอน
จึงควรนำความจริงในข้อนี้มาใช้กับการจัดหลักสูตร โดยการจัดลำดับเนื้อหาให้ก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ อย่างมีระบบ
จากง่ายไปหายาก
จากแนวความคิดนี้จึงมีการพัฒนาหลักสูตรในลักษณะบันไดวน หรือเกลียวสว่าน คือให้ลึกและกว้างออกไปเรื่อย ๆ ตามอายุและพัฒนาการของเด็ก
การพัฒนาหลักสูตรควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ความคิด หรือหัวข้อเนื้อหาพื้นฐานซ้ำแล้วซ้ำอีก
จนกว่านักเรียนได้เรียนรู้ความคิดรวมของเรื่องนั้น ๆ บรูเนอร์เชื่อว่า เราสามารถสอนเรื่องใด ๆ
ให้แก่นักเรียนที่มีอายุเท่าใดก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องรอจนกว่าเด็กจะมีความพร้อมเต็มที่ และเขาได้ย้ำในประเด็นนี้ว่า เป็นไปได้ที่จะสอนความคิดและตัวแปรต่าง ๆ
ให้แก่เด็กได้ตั้งแต่เยาว์วัย
และไม่จำเป็นต้องรอจนถึงเวลานั้น ๆ
จากการนำแนวความคิดของหลักสูตรเกลียวสว่านไปใช้กับการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ฟรอสท์และโรแลนด์ (Frost and Roland,1969) ได้ยืนยันว่า
หลักสูตรเกลียวสว่านช่วยในการอำนวยความสะดวกในการเรียนการสอนอย่างมีลำดับขั้นตอนของโครงสร้างวิชาวิทยาศาสตร์บูรณาการเข้ากับกระบวนการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ได้อย่างดี ได้ยืนยันเพิ่มเติมว่า
ไม่เพียงแต่มีการนำหัวข้อเนื้อหาเดียวกันมาศึกษาในระดับชั้นที่ต่อเนื่องกันเท่านั้น
แต่ยังมีการนำกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ให้มีความสลับซับซ้อนเพิ่มขึ้นไปเรื่อย
ๆ ให้เหมาะสมกับเนื้อหาและวัยอีกด้วย
จึงสรุปได้ว่า
เนื้อหาสาระและกระบวนการเรียนรู้ของเด็กกับนักวิชาการระดับสูงแตกต่างกันเพียงปริมาณหรือความเข้มเท่านั้น ไม่ใช่ประเภทหรือชนิด
3.
หลักสูตรเกลียวสว่านตามแนวคิดของดิวอี้
ดิวอี้
(Dewey,
1938)
มีแนวคิดเรื่องหลักสูตรสว่านแตกต่างไปจากบรูเนอร์ กล่าวคือ ดิวอี้ มีความเชื่อว่า
การเจริญงอกงามขึ้นอยู่กับการฝึกใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหาที่ได้มาจากประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียนมากกว่าจากปัญหาที่กำหนดให้จากภายนอก
และในขณะที่ผู้เรียนฝึกใช้สติปัญญากับการแก้ปัญหาเหล่านี้ เขาจะได้ความคิดใหม่ๆ และพลังในการทำงาน ซึ่งจะเป็นฐานสำหรับแก้ปัญหาอื่น ๆอีกต่อไป
ในการปฏิบัติเช่นนั้นผู้เรียนจะเข้าใจถึงความสำคัญระหว่างกันของความรู้ในสาขาต่าง
ๆ และการประยุกต์ความรู้ไปใช้ในเชิงสังคมได้กว้างขวางขึ้น กระบวนการจึงเป็นเสมือนเกลียวสว่านที่มีลักษณะต่อเนื่องและรับช่วงกันไป
ดังนั้น
เกลียวสว่านของดิวอี้จึงไม่ได้เริ่มที่ประสบการณ์ของผู้เรียนแต่เพียงประการเดียว
ซึ่งนอกเหนือไปจากเนื้อหาวิชาที่จัดไว้สำหรับการเรียนรู้ของผู้ใหญ่แต่มองประสบการณ์ทางการศึกษาว่า เป็นการขยายความสนใจและสมรรถภาพของผู้เรียนไปสู่ประสบการณ์การเรียนรู้ที่สูงขึ้นและกว้างขึ้น ดังนั้น
การเลือกเนื้อหาสาระที่จะต้องก้าวไปเรื่อย ๆ
จำเป็นจะต้องสอดคล้องกับการเจริญงอกงามของประสบการณ์ ยกตัวอย่าง
เช่น การศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์นั้น ดิวอี้ได้ยืนยันว่าไม่แต่การนำไปสู่ความเข้าใจวิทยาศาสตร์ที่ดีขึ้นเท่านั้น
แต่จะต้องนำไปสู่ความเข้าใจปัญหาของสังคมในขอบข่ายที่กว้างขึ้นและที่ดีขึ้นด้วย ในประเด็นนี้
จำเป็นต้องมีการสังเคราะห์หลักสูตรให้สมบูรณ์ทั้งในแนวตั้งและแนวนอน ในแนวตั้ง
หมายถึง
การขยายความรู้ไปสู่ระดับที่สูงขึ้นไป
ส่วนแนวนอน หมายถึง
ความจำเป็นที่จะต้องมีความสัมพันธ์ระหว่างกันของความรู้
อ้างอิง
: พิจิตรา ธงพานิช. การพัฒนาหลักสูตร ทฤษฎี หลักการ แนวคิด ทิศทาง แนวโน้ม.
พิมพ์ครั้งที่ 5. นครปฐม :
โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์, 2556.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น